วันเสาร์ที่ 26 ธันวาคม พ.ศ. 2552

ชีวิตเป็นสุขได้..ถ้ามองทุกข์อย่างเข้าใจ

ชีวิตเป็นสุขได้...ถ้ามองทุกข์อย่างเข้าใจ


ทุกชีวิตย่อมมีเกิด แก่ เจ็บ ตาย เป็นวัำฎสงสาร ที่หลายๆ คนคงทราบกันอยู่ แต่จะมีสักกี่คนที่จะปฎิบัติตนให้พ้นจากวัฎสงสารนั้น คงไม่ใช่เรื่องง่าย เพราะทุกคนล้วนแสวงหาหนทางชีวิตที่ดี แต่คงจะมีไม่มีคนที่ค้นพบทางออกที่เหมาะสมกับตนเองได้จริงๆ หรือกว่าจะค้นพบชีวิตก็หมดเวลาไปเกือบค่อนชีวิตแล้ว

เปรียบเช่น ชายหญิงคู่หนึ่งมีเส้นทางชีวิต..เส้นทางรัก ที่ฝ่าฝันอุปสรรคและมีความรักความเข้าใจซึ่งกันและกันมาตลอด หากแต่วันหนึ่งหญิงอันเป็นที่รักของชายหนุ่ม ได้พบกับโชคชะตาที่แปรผันไปเนื่องจากหญิงสาวประสบอุบัติเหตุ ทำให้เธอไม่สามารถช่วยเหลือตนเองได้ ต้องนอนเป็นเจ้าหญิง ไม่รับ ไม่รูู้ ไม่ตอบสนองต่อสิ่งใดๆ มีแค่ชายหนุ่มผู้เป็นดวงใจของหญิงสาวกลับไม่ทอดทิ้ง คอยประคับประคองดูแล ช่วยเหลือทุกทางเพื่อให้หญิงสาวของตนกลับมาใช้ชีวิตได้เป็นปกติ เหมือนอย่างแต่ก่อน จากการประพฤติ ปฎิบัติตนของชายหนุ่มผู้นี้ ต่อหญิงสาวของตนแล้วนั้น ทำให้ชายหนุ่มถูกมองว่าเป็นคนไร้ความคิด ขาดสติ ยามเหยียดพวกเขาว่า จะอยู่กันได้อย่างไร ในเมื่ออีกคน มีเพียงร่างกายแต่ไม่มีชีวิต (เหมือนคนที่ตายไปแล้ว)
ชายหนุ่มมองทางออกของชีวิตด้วยการยืนหยัดบนชีวิต ที่คิดแต่สิ่งดีดีให้ชีวิต แม้ชีวิตของพวกเขาจะไม่ได้โรยด้วยกลีบกุหลาบ แต่ชายหนุ่มก็ใช้ ความทุกข์ของเขาอย่างเข้าใจ เพียรพยายามแสวงหาความสุข โดยคิดว่าคนอื่นทุกข์หนักกว่าตน และนำความทุกข์นั้นมาสร้างกำลังใจให้ตน ในการดูแลหญิงสาว แม้ว่าชายหนุ่มจะต้องนั่งร้องไห้ เพียงคนเดียว

สุดท้ายของชีวิตชายหนุุ่มเลือกที่จะอยู่กับหญิงสาว เพื่อดูแลหญิงสาวไปตลอดชีวิต แม้เส้นทางชีวิตของพวกเขาจะดูเหมือนเส้นขนาน แต่ชายหนุ่มก็สร้างความทุกข์จากเส้นขนานนั้น ให้กลายเป็นเส้นที่มาบรรจบกันเป็นความสุข

หากคิดแต่เรื่องดีดี ชีวิตก็มีความสุขและมีความทุกข์อย่างเข้าใจ

2 ความคิดเห็น:

  1. แบกธรรมหรือแบกทุกข์

    พระธุดงค์สองรูปเดินทางถึงบริเวณริมลำธารที่ต้องลุยน้ำข้ามไป ภิกษุทั้งสองได้ประสบกับ หญิงสาวคนหนึ่งซึ่งแต่งกายด้วยอาภรณ์หรูหรา สตรีผู้นี้ยังไม่รู้ว่าจะข้ามลำธารที่เชี่ยวกรากนี้ได้อย่างไร ประจวบกับเธอไม่อยากให้ชุดอันสวยงามของเธอต้องเลอะเทอะ
    ทันใดนั้นเอง ภิกษุรูปหนึ่งได้อาสาแบกเธอขึ้นหลังพาข้ามลำธารเพื่อไปส่งยังอีกฟากหนึ่ง จากนั้นภิกษุทั้งสองก็ได้เดินทางต่อไป จวบจนอีกชั่วยามต่อมา ภิกษุผู้ร่วมทางได้บริภาษแก่ภิกษุผู้เมตตาว่า
    “มิสมควรอย่างยิ่งที่ท่านไปถูกเนื้อต้องตัวสีกาอย่างนั้น เป็นการละเมิดพระธรรมวินัยหากภิกษุสงฆ์สัมผัสตัวใกล้ชิดกับสตรีเพศ ท่านกระทำอาบัติผิดศีลเช่นนี้ได้อย่างไร”
    ภิกษุผู้พาสตรีน้อยข้ามฟากก็เยื้องย่างโดยมิเอื้อนเอ่ยวาจาอย่างใดออกมา สักพักท่านหันมาเอ่ยต่อภิกษุผู้เคร่งครัดนั้นว่า
    “กระผมได้ส่งสีกาลงไว้ที่ริมลำธารได้เพลาหนึ่งแล้ว ไฉนท่านจึงยังแบกสีกานั้นไว้อีกเล่า"
    (ข้อคิดจากhttp://nilotica.multiply.com/journal/item/21/21 )

    ตอบลบ